หากจะนับว่าธุรกิจในประเทศไทยตอนนี้มีอยู่กี่ประเภท คงบอกได้เลยว่ามีมากกว่า สองพันแบบ และในแต่ละประเภท ธุรกิจก็มีลักษณะการดำเนินการที่แตกต่างกันออกไป เช่นร้านอาหารก็มีหลายประเภท แม้แต่ร้านอาหารไทย ก็ยังแบ่งย่อยว่าจะจับลูกค้ากลุ่มใด ดังนั้นเราบอกได้เลยว่า ทางเลือกของท่านนั้นมีมากมายมหาศาล นี่ขนาดยังไม่ได้นับธุรกิจใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นมา ซึ่งเรามองว่าหากท่าน สามารถทำอะไรที่แตกต่างจากคนอื่นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็จะมีมาก
แต่ปัญหาที่มักจะพบเห็นคือ เจ้าของกิจการมือใหม่หลายๆคน อาจจะประสบปัญหาทุนหมดก่อนที่จะเริ่มมีรายได้เข้ามา นั่นเพราะพวกเขาไม่สามารถ แยกระหว่าง “โอกาสทางธุรกิจ” กับ “ความคิดดีๆ” ได้ ในขณะที่นักธุรกิจมือเก่าๆ จะรู้ว่า นี่คือความคิดที่เก๋มาก แต่อาจเป็นไปได้ยากทางธุรกิจ หรือความคิดนี้พอใช้ได้ แม้จะไม่แปลก ใหม่นักแต่นำไปดัดแปลงให้เป็นธุรกิจที่ทำเงินได้ อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่เริ่มทำธุรกิจ ก็จะเริ่มจากความคิดดีๆนี่เอง ดังนั้นเราลองมาดูว่า นักธุรกิจส่วนใหญ่เขาได้ความคิดดีในการทำธุรกิจจากที่ใดดังนี้
แหล่งความคิดดีๆ ในการลงทุน
1. มีพื้นฐานมาจากแหล่งที่คุณมีความรู้และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานที่ทำอยู่เป็นประจำ นั่นคือแหล่งข้อมูลที่ดี ที่จะทำให้คุณเกิดแนวความคิด และสามารถจินตนาการให้เกิดเป็น ภาพขึ้นมาได้ สามารถนำมาพิจารณาประกอบกับปัจจัยอื่นๆ อีกหลายด้านในการลงทุน คุณย่อมได้เปรียบกว่าคนอื่นที่คิดจะทำธุรกิจ และบ่อยครั้ง ที่งานอดิเรกที่ทำอยู่ก็กลาย เป็นตัวนำไปสู่โอกาสที่ก่อให้เกิดธุรกิจได้เช่นกัน
2. ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ที่เกิดจากความต้องการสิ่งใดแล้วไม่ได้ดังปรารถนา พิจารณาให้ลึกซึ้งว่าสิ่งนั้นคืออะไร มองหาความต้องการที่ไม่มีผู้ใด สนองได้เลยก่อน หรือสิ่งที่ได้มาแล้ว พบว่ามีคุณภาพไม่ดี ย่อมเป็นผลดีแก่ตัวคุณเอง เกิดเป็นความเคยชิน เมื่อถึงเวลาที่ต้องการ ความคิดนั้นก็สามารถเชื่อมโยงไปกับธุรกิจได้
3. อ่านมากจะช่วยให้หูตากว้างไกล เกิดความรู้และแนวคิดใหม่ ๆ ขึ้นมา สิ่งที่ช่วยในการค้นคว้าหาความรู้มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ วารสาร นิตยสาร หรือสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ผู้ที่สนใจคัดเลือกธุรกิจก็หาอ่านได้จากหนังสือเหล่านี้ โดยศึกษาถึงผลิตภัณฑ์ที่จะทำ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ สีสัน รสนิยมผู้บริโภค
4. ศึกษาสถิติการนำเข้าสินค้าบางประเภทที่มีอันดับสูงเป็นสินค้าที่มีเทคนิคการผลิตไม่ยุ่งยากซับซ้อน หรือเป็นสินค้าที่สามารถใช้วัตถุดิบและแรงงาน ภายในประเทศ หรือเป็นสินค้า มีทางที่จะลงทุนผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าได้อย่างไร ศึกษาถึงวิธีการที่จะทำให้ต้นทุน การผลิตต่ำกว่าการนำเข้า
5. ข้อมูลจากงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล ในแต่ละปีรัฐบาลมีงบประมาณรายจ่ายในการจัดซื้อ วัสดุครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ การจัดซื้อของทางราช การเป็นตลาดขนาดใหญ่ข้อมูลเหล่านี้ สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ ว่ามีรายการใดบ้างที่น่าลงทุนหนังสืองบประมาณรายจ่ายหาได้จากสำนักงบประมาณ
6. งานแสดงสินค้าและงานนิทรรศการสินค้า เป็นงานที่องค์กรของรัฐหรือเอกชน สมาคม หอการค้า หรือรัฐร่วมกับเอกชนเป็นผู้จัด โดยมุ่งหมายให้ ตลอดจนคนกลางค้าปลีกได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้า จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ดูงานก็ต่อเมื่อดูแล้วคิด จดจำ และนำมาประยุกต์ให้เป็นแบบของคุณ ถ้าดูแล้วผ่านเลยก็จะไม่มีประโยชน์แต่อย่างไร
7. ขอคำปรึกษาจากบุคคลและหน่วยงานต่าง ๆ หน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ เป็นต้น(ดูภาคผนวกประกอบ) ภาคเอกชนก็มี เช่น บ. เอสเอ็มอีเซ็นเตอร์ ทำให้เรามีโอกาสได้เลือกที่จะทำธุรกิจ หรือธนาคารพาณิชย์ต่าง ซึ่งเจ้าหน้าที่ธนาคารจะทราบสถานการณ์ธุรกิจ อุตสาหกรรมเป็นอย่างดี เพราะได้ทำการวิเคราะห์โครงการที่ขอเงินกู้ และธนาคารพาณิชย์ยังมีส่วนงานวิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจอุตสาหกรรม ถ้ามีโอกาสได้ปรึกษาจะทำให้ได้ ข้อคิดมากมาย
8. อินเตอร์เนต คือแหล่งข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เดี๋ยวนี้เริ่มที่จะมีเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับ SME เกิดขึ้นมา และเป็นแหล่งของโอกาสดีๆที่ท่าน จะเข้าไปดูได้ผู้ที่มีสินค้าก็สามารถ ประกาศขายคนที่สนใจก็ไม่ต้องไปเดินทางไปเสาะหา เพียงเปิดอินเตอร์เนตเข้ามา
ท่านลองใช้เวลาสักระยะเสาะหาความคิดดีๆ ที่พอจะนำมาทำให้เกิดเป็นโอกาสทางธุรกิจ และเริ่มต้นทำธุรกิจกัน ซึ่งความคิดดีๆนี้ไม่จำเป็นว่าต้องเป็น ความคิดของท่านเอง ท่านอาจจะ คิดอะไรได้จากเพื่อนที่ชอบโม้อะไรใหม่ๆให้ฟังก็ได้ แต่ขั้นต่อมาก็คือการ แปลงความคิดนั้นให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจ หรือพูดง่ายว่า ทำโลกแห่งความฝัน ให้กลายเป็นโลกแห่งความจริง แต่อย่างที่เราทราบกันว่า โลกแห่งความจริงมีความไม่แน่นอนมากกว่า โลกแห่งความฝัน เราจึงต้องมีการวางแผนกันต่อไป